ครีมบำรุงผิวหน้านั้นเป็นสกินแคร์สำคัญที่จำเป็นต่อการดูแลและบำรุงผิว เพราะนอกจากจะช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นเอาไว้ในผิวแล้ว ยังช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับชั้นผิวและยังเสริมเกราะป้องกันผิวได้อีกด้วย ทั้งนี้กลุ่มของผู้ที่มีสภาพผิวผสมอาจต้องพบเจอกับความยากลำบากในการเลือกครีมบำรุงผิว เพราะเป็นผิวที่ผสมระหว่างผิวแห้งและผิวมัน ซึ่งหากเลือกไม่เหมาะสมแล้วละก็ จะไม่สามารถดูแลผิวได้อย่างเหมาะสมหรือมีประสิทธิภาพได้
ในปัจจุบัน มีครีมบำรุงผิวหน้าสำหรับผิวผสมวางขายอยู่ทั่วไปจากหลายแบรนด์ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น Clinique, Physiogel, Eucerin และอื่น ๆ ซึ่งแตกต่างกันไปทั้งในเรื่องของเนื้อสัมผัสและส่วนผสมที่ใช้ จึงต้องอาศัยการศึกษาและทำความเข้าใจกับครีมบำรุงผิวหน้าเหล่านี้ก่อนจะเลือกซื้อ วันนี้ทางทีมงานของเราจะมาเป็นตัวช่วยให้คนที่มีสภาพผิวผสมทุกคนสามารถเลือกซื้อครีมบำรุงผิวหน้าที่เหมาะสมกับตัวเองได้ง่ายยิ่งขึ้นค่ะ
สภาพผิวที่คนส่วนใหญ่รู้จักกันก็คือ ผิวแห้งหรือผิวมัน ซึ่งหลายคนก็ยังสับสน คิดว่าการมีสภาพผิวผสมนั้นหมายถึงการมีผิวที่สมดุล และนั่นเป็นความคิดที่ผิดเลยค่ะ ! เพราะความจริงแล้วการมีสภาพผิวผสมนั้นหมายถึง ผิวบริเวณต่าง ๆ บนใบหน้าของคุณมีความแห้งและมันไม่เท่ากัน โดยบริเวณที่ต่อมไขมันมากจะมีความมันมากกว่าบริเวณอื่น เช่น บริเวณ T-Zone ของใบหน้า คือหน้าผาก จมูกและคาง จึงทำให้มีการพบเจอสิวเสี้ยนและสิวต่าง ๆ ที่ผิวบริเวณนี้อยู่บ่อยครั้ง ในขณะที่ผิวบริเวณโหนกแก้ม ข้างแก้มและรอบดวงตา จะมีต่อมไขมันน้อย ทำให้ผิวบริเวณนี้มีความแห้งได้ง่ายกว่าบริเวณอื่น จึงทำให้เกิดอาการเหี่ยวแห้งหรือลอกเป็นขุยได้
วิธีการตรวจดูว่าผิวของคุณมีสภาพผิวผสมหรือไม่ให้ดูได้จาก หลังจากที่ตื่นนอนแล้ว ผิวบริเวณ T-Zone นั้นมีความมันแตกต่างกับผิวบริเวณโหนกแก้มหรือไม่ หรือจะใช้วิธีการล้างหน้าด้วยน้ำเปล่าแล้วรอเวลา 20 นาที หากผิวบริเวณ T-Zone นั้นมีความมันเป็นพิเศษหรือผิวบริเวณแก้มหรือรอบดวงตานั้นแห้งเป็นขุยแสดงว่าคุณมีสภาพผิวผสมนั่นเอง
หลังจากที่รู้จักสภาพผิวผสมและวิธีการสังเกตว่าผิวหน้าของคุณนั้นเป็นผิวผสมหรือไม่กันไปแล้ว เรามาดูกันดีกว่าค่ะว่า วิธีการเลือกครีมบำรุงผิวหน้าสำหรับผิวผสมนั้นมีอะไรบ้างที่คุณต้องใส่ใจพิจารณา
อย่างที่ทราบกันดีว่า การมีสภาพผิวผสมจะทำให้ผิวของคุณมีสภาพทั้งมันและแห้ง ทั้งยังมีปัญหาที่ต้องเผชิญต่างกันออกไป ดังนั้นหากคุณเลือกครีมบำรุงผิวหน้าจากส่วนผสมหลักก็จะช่วยให้คุณสามารถแก้ไขและดูแลปัญหาผิวได้อย่างถูกจุดมากขึ้น
Hyaluronic Acid นั้นเป็นฮีโร่ที่ช่วยกอบกู้ผิวจากอาการแห้งขาดน้ำได้อยู่เสมอ เพราะมีคุณสมบัติในการเชื่อมชั้นผิว คอลลาเจนและอีลาสตินเข้าด้วยกัน ทำให้ผิวมีความแข็งแรงจึงสามารถกักเก็บความชุ่มชื้นเอาไว้ในผิวได้ยาวนานมากขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยหล่อเลี้ยงผิวให้มีความเต่งตึงและสมานตัวได้อย่างรวดเร็ว Hyaluronic Acid ในรุ่นแรก ๆ นั้นมีโมเลกุลที่ค่อนข้างใหญ่จึงซึมลงสู่ผิวได้ยาก ต่อมามีการพัฒนากรด Hyaluronic ให้มีโมเลกุลเล็กลงสามารถซึมลงบำรุงผิวได้ง่ายกว่าเดิม ที่สำคัญสารตัวนี้จะมีน้ำหนักเบา ไม่ทิ้งความเหนียวเหนอะหนะเอาไว้บนใบหน้าอีกด้วย
Vitamin B3 หรือที่เราเห็นในส่วนผสมของครีมบำรุงกันในชื่อของ Niacinamide เป็นสารที่มีประสิทธิภาพในการลดความมันส่วนเกินที่ผลิตจากต่อมไขมันได้อย่างดีเยี่ยม อีกทั้งยังช่วยลดอาการแดงหรืออักเสบของผิวที่เกิดจากสิวได้อีกด้วย เหมาะกับคนที่มักจะพบปัญหาผิวมันเยิ้มในบริเวณ T-Zone นอกจากนี้ Niacinamide ยังมีความระคายเคืองต่ำ เมื่อเทียบกับสารอื่น ๆ ที่มีคุณสมบัติในการกำจัดความมันส่วนเกิน แต่ก็มีความแรงจนอาจจะทำให้ผิวบริเวณดังกล่าวนั้นแห้งระคายเคืองตามมาได้
ความมันส่วนเกินของผิวบริเวณ T-Zone ในบางครั้งก็เกิดจากการมีรูขุมขนขนาดใหญ่ ดังนั้นจึงควรใช้ครีมบำรุงที่มีส่วนผสมของสารช่วยกระชับรูขุมขนให้เล็กลง ซึ่ง Vitamin C นั้นจัดว่าเป็นหนึ่งในส่วนผสมเหล่านั้นที่จะช่วยกระตุ้นให้ผิวเกิดการสร้างคอลลาเจนและมีความยืดหยุ่นเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ผิวมีความกระชับมากขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้ ยังช่วยยับยั้งสารอนุมูลอิสระที่อาจจะทำลายผิวให้มีความอ่อนแอตามกาลเวลาได้อีกด้วย
Ceramide เป็นอีกสารสำคัญที่มีความสำคัญต่อผิว เพราะทำหน้าที่สร้างความแข็งแรงให้กับเกราะในชั้นผิว เพื่อป้องกันผิวจากการสูญเสียความชุ่มชื้น โดยปกติแล้วในผิวของเราจะมี Ceramide อยู่ตามธรรมชาติ แต่เมื่อเวลาผ่านไปปริมาณของ Ceramide จะลดลงด้วยอายุที่เพิ่มขึ้นและมีอนุมูลอิสระต่าง ๆ มารบกวนผิว ดังนั้นการเสริม Ceramide ด้วยครีมบำรุงจึงเป็นสิ่งที่ควรทำด้วยเช่นกัน
Ceramide นั้นมีอยู่ด้วยกันหลายประเภท แต่ประเภทที่มีประสิทธิภาพในการดูแลผิวมากที่สุด คือ Human Ceramide เพราะมีความใกล้เคียงกับ Ceramide ในชั้นผิวของเรานั่นเอง ซึ่ง Human Ceramide จะได้แก่ Ceramide ที่มีตัวอักษรหรือตัวเลขตามหลังอย่างเช่น Ceramide NP, AP หรือ Ceramide 1, Ceramide 2 และ Ceramide 3 เป็นต้น
เนื้อสัมผัสของครีมบำรุงผิวก็เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องพิจารณาด้วยเช่นกัน เพราะบริเวณที่แห้งหรือมันของผิวนั้นเหมาะกับความหนักเบาของครีมบำรุงที่ต่างกันด้วย
ครีมบำรุงที่อยู่ในรูปของเนื้อสัมผัสแบบครีมนั้นจะมีความเข้มข้นสูง จึงเหมาะสำหรับใช้บริเวณผิวที่มีความแห้งกร้านมากจนแตกหรือลอกเป็นขุย เพราะครีมบำรุงประเภทนี้จะให้ความชุ่มชื้นให้กับผิวได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังเคลือบผิวบริเวณดังกล่าวไม่ให้น้ำในผิวระเหยออกไปอีกด้วย
สำหรับบริเวณผิวที่มีความมัน ควรจะหลีกเลี่ยงการใช้เนื้อสัมผัสแบบครีม เพราะความเข้มข้นที่มากเกินไปจะทำให้เกิดการอุดตันของผิวได้ง่าย แนะนำให้เลือกใช้ครีมบำรุงที่อยู่ในรูปแบบของเจลหรือโลชั่นที่มีเนื้อสัมผัสบางเบาและสามารถซึมลงสู่ผิวได้อย่างรวดเร็ว ไม่ทิ้งความมันหรือความเหนียวเอาไว้บนใบหน้า
นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงส่วนผสมที่ก่อให้เกิดความระคายเคืองได้ง่าย อย่างเช่น น้ำหอม สีสังเคราะห์ และแอลกอฮอล์ เพราะอาจจะทำให้ผิวนั้นเกิดอาการแพ้และอักเสบตามมาได้ ในขณะเดียวกันก็ควรเลือกครีมบำรุงที่ไม่มีสารที่ก่อให้เกิดการอุดตันด้วยเช่นกัน เพราะผิวผสมนั้นจะต้องเผชิญกับความมันบริเวณ T-Zone ซึ่งอาจะก็ให้เกิดการอุดตันได้ง่าย โดยคุณสามารถตรวจดูว่าส่วนผสมที่อยู่ในครีมบำรุงนั้นมีค่า Comedogenic Rate ในระดับไหน ถ้ายิ่งมีค่าสูงก็จะมีความเสี่ยงในการอุดตันรูขุมขนสูงไปด้วย ในส่วนของสารกันเสียประเภทพาราเบนนั้นหากคุณเป็นคนที่มีผิวแพ้ง่ายพ่วงมาด้วย ยิ่งควรจะหลีกเลี่ยง เพราะสารชนิดนี้จะรบกวนผิวของคุณให้เกิดการระคายเคืองได้
หลังจากที่เราได้ความรู้ทั้งเรื่องสภาพผิวผสมและวิธีการเลือกครีมบำรุงสำหรับผิวผสมไปแล้ว มาดูกันดีกว่าค่ะว่า 10 อันดับ ครีมบำรุงผิวหน้าสำหรับผิวผสมที่เราอยากจะแนะนำให้คุณลองเก็บไว้เป็นตัวเลือกจะมียี่ห้อไหนกันบ้าง
ใครที่กังวลเรื่องริ้วรอยจะต้องถูกใจครีมบำรุงตัวนี้เพราะเน้นใช้ส่วนผสมที่ช่วยซ่อมแซมผิวจากการเสื่อมสภาพ ลดเลือนริ้วรอยและเติมความยืดหยุ่นให้ผิวมีความกระชับ มีทั้งกรดไฮยาลูรอนิคที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและ Niacinamide ที่ช่วยลดความมันบนผิวพร้อมทั้งการผลัดเซลล์ผิวไปในตัว แต่ใครที่มีผิวแพ้ง่ายอาจจะต้องหลีกเลี่ยงเพราะครีมบำรุงตัวนี้มีส่วนผสมของน้ำหอมและสารกันเสียอยู่หลายตัว และยังมีซิลิโคนที่อาจจะทำให้เกิดการอุดตันจึงไม่เหมาะกับผิวแพ้ง่าย
ครีมบำรุงตัวนี้ออกแบบมาเพื่อเติมเต็มความชุ่มชื้นให้กับผิวโดยเฉพาะ มีการใช้ Progressive Release System ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้ผิวสามารถกักเก็บน้ำไว้ในผิวได้อย่างยาวนานยิ่งขึ้น อีกทั้งยังมีสารสกัดจากมะกอกที่ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวอีกด้วย หลายคนติดใจในเนื้อสัมผัสที่เป็นเจลซึมลงสู่ผิวได้อย่างรวดเร็ว แต่หากใครที่แพ้น้ำหอมก็อาจจะต้องหลีกเลี่ยงเพราะครีมมีส่วนผสมดังกล่าวมาด้วย
สำหรับสาวก Vitamin C ควรเก็บครีมบำรุงตัวนี้ไว้เป็นตัวเลือกเลยค่ะ เพราะมี Vitamin C จาก Yuja Extract ในปริมาณที่เข้มข้น ซึ่งนอกจากจะช่วยปรับให้ผิวกลับมาดูกระจ่างใสแล้ว ยังมีหน้าที่สำคัญในการกระตุ้นให้ผิวเกิดการสร้างคอลลาเจนและเติมความยืดหยุ่นเพื่อให้รูขุมขนกระชับเล็กลง ทั้งนี้ครีมตัวนี้มีเนื้อสัมผัสค่อนข้างหนักและใช้เวลาในการซึมลงผิว ดังนั้นใครที่มีผิวผสมที่ออกไปทางผิวมันอาจจะต้องหลีกเลี่ยง
มลภาวะทางสิ่งแวดล้อมที่เพิ่มขึ้น ทำให้ผิวของใครหลายคนต้องเจอกับความหมองคล้ำ ซึ่งครีมบำรุงตัวนี้จะช่วยแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ โดยมีสารสกัดดอกซากุระจากเกาะเชจู ที่ช่วยเพิ่มความกระจ่างใสให้กับผิว นอกจากนี้ยังมีส่วนผสมให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว ป้องกันผิวจากความแห้งได้ ผู้ใช้ส่วนใหญ่ถูกใจที่เนื้อสัมผัสมีความบางเบา เมื่อใช้แล้วสามารถซึมได้เร็วและช่วยให้ผิวรู้สึกสดชื่นผ่อนคลายจากกลิ่นซากุระอ่อน ๆ อีกด้วย
ครีมบำรุงรุ่นนี้ถือได้ว่ามีครบทั้ง Vitamin C และคอลลาเจนที่มีความสำคัญในการเพิ่มความยืดหยุ่นและความกระชับให้ผิว เพื่อกระตุ้นให้รูขุมขนนั้นมีขนาดเล็กลง อีกทั้งยังมีส่วนผสมให้ความชุ่มชื้นกับผิวถึงหลายตัวด้วยกัน จึงเป็นครีมบำรุงที่เหมาะกับคนที่ต้องการปกป้องผิวจากการเสื่อมสภาพตามอายุ เนื้อสัมผัสนั้นเป็นแบบเจลที่ผู้ใช้ส่วนใหญ่นั้นชื่นชมในเรื่องความบางเบาและสามารถซึมลงสู่ผิวได้อย่างรวดเร็ว
Physiogel เป็นแบรนด์คู่ใจสำหรับคนที่มีผิวบอบบางและแพ้ง่ายมายาวนาน เพราะใช้สูตรส่วนผสมที่เรียบง่ายและไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง เช่นเดียวกับครีมบำรุงตัวนี้ที่เน้นการใช้ Ceramide NP ที่มีความใกล้เคียงกับเซราไมด์ในชั้นผิวในการเพิ่มความชุ่มชื้น มี Niacinamide ที่ช่วยลดความมันส่วนเกิน และยังมีส่วนผสมของ Panthenol ที่ช่วยปลอบประโลมผิวจากการอักเสบ เป็นครีมบำรุงที่เหมาะในการใช้ในช่วงที่ผิวอ่อนแอ
คนผิวผสมที่เจอกับปัญหาผิวแห้งลอกอย่างหนักหน่วง ก็สามารถใช้ครีมบำรุงตัวนี้เป็นตัวช่วยเร่งด่วน เพราะนอกจากจะมีส่วนผสมให้ความชุ่มชื้นแล้ว ยังใช้เทคโนโลยีอย่าง AQUAporin Booster ที่ช่วยส่งผ่านน้ำลงสู่ผิวได้อย่างดียิ่งขึ้น ผู้ใช้ที่เจอกับปัญหาหน้าแห้งรุนแรงต่างก็โหวตให้ครีมตัวนี้เป็นฮีโร่ ถึงจะเป็นเนื้อครีมที่มีความเข้มข้นแต่กลับซึมลงสู่ผิวได้อย่างรวดเร็วไม่ทิ้งความมันและเหนียวเหนอะหนะเอาไว้บนใบหน้า
ถ้าพูดถึงครีมบำรุงที่เน้นส่วนผสมของ Ceramide แล้ว จะต้องมีชื่อของครีมตัวนี้จาก Cerave เป็นลำดับต้น ๆ เพราะใช้ Human Ceramide ถึง 3 ชนิด เพื่อช่วยเติมความชุ่มชื้น เพิ่มความยืดหยุ่นและเสริมปราการผิวให้แข็งแรง ทำให้ผิวที่อ่อนแอและขาดน้ำกลับมามีสุขภาพดี หลายคนติดใจครีมบำรุงตัวนี้ตรงที่มีส่วนผสมเรียบง่าย เหมาะสำหรับคนที่มีผิวบอบบางและไม่ต้องการให้ผิวต้องเจอกับสารที่อาจจะก่อให้เกิดการระคายเคือง
แบรนด์ Curel นั้นนอกจากจะมีชื่อเสียงในเรื่องของสกินแคร์เซราไมด์ในรูปแบบครีมแล้ว ตัวโลชั่นน้ำนมบำรุงผิวก็เป็นที่นิยมไม่แพ้กัน โดยมีส่วนผสมของ Curel Ceramide ที่ทางแบรนด์คิดค้นขึ้นมาเหมือนกัน สามารถกระตุ้นให้มีการสร้างเซราไมด์ธรรมชาติเพิ่มขึ้นในผิว โดยที่มีเนื้อสัมผัสที่บางเบาลงกว่าเดิม ผู้ใช้ส่วนใหญ่จึงประทับใจเป็นอย่างมาก เพราะเนื้อโลชั่นสามารถซึมลงสู่ผิวได้อย่างรวดเร็ว ไม่ทิ้งคราบไว้บนใบหน้า
อันดับ 1 ของครีมบำรุงสำหรับผิวผสมนั้นเป็นของเจลตัวนี้จาก Clinique ที่มักจะติดในลิสต์ของครีมให้ความชุ่มชื้นอยู่เสมอเพราะใช้เทคโนโลยีที่ช่วยให้ทั้งเติมความชุ่มชื้นให้กับผิวและกักเก็บน้ำในผิวได้อย่างยาวนานยิ่งขึ้น จึงสามารถฟื้นบำรุงผิวจากความแห้งกร้านได้อย่างเร่งด่วน ผู้ใช้ต่างก็รักที่ครีมตัวนี้ทำให้ผิวกลับมาดูนุ่มฟูและเปล่งปลั่งในระยะเวลาอันสั้น และถึงจะมีความเข้มข้นสูงแต่เมื่ออยู่ในรูปแบบเจลจึงมีความบางเบาและซึมลงสู่ผิวได้อย่างง่ายดาย
มาถึงตรงนี้ หวังว่าทุกคนจะได้รับความรู้และความเข้าใจอย่างดียิ่งขึ้นเกี่ยวกับสภาพผิวผสมและวิธีการเลือกครีมบำรุงสำหรับคนที่มีผิวผสมกันไปแล้ว รวมไปถึงตัวเลือกครีมบำรุงผิวหลายตัวจาก 10 อันดับ ครีมบำรุงผิวสำหรับผิวผสม ที่เราได้รวบรวมมาแนะนำกันในวันนี้อีกด้วย
สภาพผิวของแต่ละคนนั้นมีการเปลี่ยนแปลงได้อยู่เสมอเนื่องจากอายุที่เพิ่มขึ้นและสิ่งแวดล้อมภายนอกต่าง ๆ ดังนั้นอย่าคิดว่าตอนนี้คุณมีสภาพผิวแบบนี้แล้วจะเป็นแบบเดิมตลอดไป คุณจึงควรลองสังเกตตัวเองอยู่เสมอว่าสกินแคร์ที่เคยใช้นั้นยังใช้ได้ผลเหมือนเดิมหรือไม่ อีกทั้งควรดูว่าความมันและความแห้งบนผิวนั้นเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร หากคุณเข้าใจในสภาพผิวของคุณได้เร็วมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งช่วยให้คุณปรับเปลี่ยนสกินแคร์ที่ใช้ให้เหมาะสมได้เร็วขึ้นเท่านั้น